วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เมื่อทารกน้อยลืมตาขึ้นก็ได้สร้างความประหลาดใจกับทุกคน

เมื่อทารกน้อยลืมตาขึ้นมาดูโลกนั้น อาจสร้างความ กังวลใจให้กับพ่อแม่มือใหม่ได้ไม่น้อย ด้วยความไม่รูไม่เคย เจอะเจอกับปัญหาในการเลี้ยงดูมาก่อน ด้งนั้นการเตรียมตัวให้ พร้อม จะช่วยทำให้การเลี้ยงดูลูกกลายเป็นเรื่องง่าย น้ำหนัก ไม่ยากเย็น อีกต่อไปแม่ควรมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีพลานามัย สมบูรณ์ ออกกำลังกายอย่างสมื่าเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ถูกหลักอนามัย สำหรับแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ควรดื่มนํ้า ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายคือรันละประมาณ8-10 แก้ว หลีกเลี่ยงยาเสพติดทุกชนิด การมีสุขภาพจิต สุขภาพ ร่างกายที่สดใสแข็งแรงสมบูรณ์นั้น มีส่วนสำคัญอย่างมากใน การเลี้ยงลูลูกคัวน้อยของคุณเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดีแท้และแน่'จริง ผู้เชี่ยวชาญพูด ตรงกันว่า นมแม่นั้นดีมีประโยชน์ เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่า มากที่สุด มีสารอาหารที่มีความจำเป็น และเหมาะสมกับทารกน้อย ปลอดภัย ห่างไกลจากสารเคมีปนเปีอน นมแม่นั้นยังช่วยสร้าง ภูมิคุ้มกันให้กับทารกได้อย่างดีเยี่ยมการที่ทารกได้กินนมแม่นั้นจะช่วยให้สมองมีการพัฒนา- การที่ดีขึ้น ดีกว่าทารกที่ไม่ได้กินนมแม่ มีผลงานการวิจัยจาก นักโภชนาการรองรับ ชัดเจน และการคุ้มลูกแนบอกนั้นยัง เป็นการส่งผ่านความรัก ความอบอุ่น ในสายใยสายสัมพันธ์จาก  ออกกำลังกาย แม่ไปสู่ลูก ได้เป็นอย่างดี ควรให้ลูกกินนมแม่ อย่างน้อย 6 เดือน จึงจะได้ผลดี มีประโยชน์สูงสุดต่อลูกน้อยในแต่ละมื้ออาหารนั้นลูกน้อยควรได้รับสารอาหารที่ ครบถ้วนสมบูรณ์ เหมาะสมตามวัย ของลูก พ่อแม่ควรเลือก อาหารในแต่ละมื้อให้แตกต่างกัน เพื่อที่ลูกน้อยจะได้รับสาร อาหารที่หลากหลายไม่ชํ้าซากจำเจ ที่สำคัญควรมีผัก ผลไม้ และโปรตีน เป็นส่วนประกอบในแต่ละมื้อ ควรหลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีนํ้าตาล เกลือ และไขมันมากๆ การใส่ใจในการคัดเลือก คัดสรรอาหารในแต่ละมื้อ สามารถช่วยดูแลเรื่องสุขภาพได้ อย่างไม่น้าเชื่อพ่อแม่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นเรื่องการเรียนของลูกน้อยบ้' สำคัญ หากใครที่มีลูกขยัน ตั้งใจเรียน ก็น้บว่าเป็นเรื่องดี ไม ต้องคอยพรื่าบ่น พรื่าสอน เรื่องการบ้าน การทบทวนเรื่องตำรับ ตำราแต่ในความเป็นจริงแล้วอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ แพ้การเรียนเลยก็คือ การเล่น เด็กๆ ต้องมีการเข้ากิจกรรมร่วม กันกับเพื่อนฝูง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา การเล่นดนตรี เป็นต้น พ่อแม่ทุกคนควรสนับสนุนให้ลูกไต้ผ่อนคลายกับการเล่นสนุก ควบคู่ไปกับการเรียน เพื่อที่เด็กจะไต้มีพัฒนาการที่ดีทั้งทาง ต้านร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก และสติปัญญาไปพร้อมๆ กัน  ถ่วงน้ำหนัก พ่อแม่บางคนให้ลูกเรียนพิเศษเพิ่มจากการเรียนปกติอีก หลายวิชา จนเด็กๆ ไม่มีเวลาพักผ่อน ทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วม กับเพื่อนๆ เลย หากเป็นอย่างนี้น้บว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเอา เสียเลย อาจทำให้เด็กมีสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวน ขาดเพื่อน เหงาหงอย เข้าส้งคมไม่เป็น เป็นเด็กฉลาด แต่ขาดมิตรภาพ กลาย เป็นคนที่เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเลย 

ชุดถ่วงน้ำหนัก

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กระเพาะอาหารคนเราสามารถย่อยอาหารได้ในหลายชั่วโมง

กระเพาะอาหารเป็นไปตามที่เรากิน จิตใจของเราก็ไม่ต่าง กันที่เป็นในสิ่งที่เราอ่าน ไม่มีจิตใจที่แข็งแรงบาร์โหนติดผนัง  และตื่นตัวใดจะสามารถ อยู่ได้โดยปราศจากมิตรภาพจากเพื่อนเกลอที่มีนามว่า เชคเสปียร์ไม่มีข้อสงสัยกับความจริงของคำกล่าวที่ว่า ไม่มิความ จำเป็นต้องศึกษาอื่นใดอีกแล้วสำหรับคนที่ได้อ่านผลงานของ เซคเสปียร์ อย่างต่อเนื่อง ด้วยความเข้าใจ ตังเช่นนักปรัชญา เอเมอร์สัน เขาได้ตุ๋น ความคิดทั้งหลายที่มีในโลกใบนี้ลงเป็นประโยคที่กระกับรวบรัด และ คนอ่านจะเหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งเมื่อได้อ่าน เป็นเรื่องดี ที่เราได้เรียนเหลายส่วนของมัน ด้วยหัวใจของเรา เพื่อที่จะสามารถ นำมันมาประยุกต์ใช้เข้ากับ'ชีวิตประจำ1วัน1ได้สิ่งเหส่านี้จะช่วยเสริมกำลังให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น ความสวย งามของมันจะช่วยยกสภาพของจิตใจขึ้น ให้เห็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ จากความคิดที่สุดยอด แล้วมันจะช่วยเติมเต็มหัวใจด้วยแรง ปรารถนาที่จะลงมือทำบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่หนังสือเหล่านี้ควรจะเป็นสหายข้างกายที่ซื่อตรงเคียงดู่อยู่ ตลอดทุกช่วงของชีวิตไม่ว่าภาระจะพัดพาเราไปแห่งหนใดก็ตาม เรา ควรตระหนักว่ามันจะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ถูกลืมทิ้ง เอาไว้เบื้องหลัง ความคิดของเจ้าแห่งจิตใจที่มีนามว่า เชคเสปียร์...แล้วเราจะไม,รู้จัก กับคำว่า “ชีวิตน่าเบื่อ ไม่มีอะไรให้ทำ’’ อีกต่อไป ท่ามกลางกองหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาเพื่อคนอเมริกัน หนังสือ “ชัยชนะของตะว้นตก” ของ รูเซเฟลท์ เป็น หนึ่งในเล่มที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่เขา1ได้'ใส,บุคลิกกระifรกระเปร'าที่มี ความน่าสนใจทั้งหมดของเขาลงไปในนั้น แต่เพราะเขาได้ให้ภาพที่ซัดเจนของชัยชนะของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผ้อพยพมอบให้แก่เราไม่มีใครที่อ่านแล้วจะไม่เกิดความรู้สึกตื่นเต้นและซาบซึ้งไปกับความ อันตรายที่คนรุ่นก่อนต้องพบพาน กับสิ่งกล้าหาญที่พวกเขาได้ทำ เครื่องออกกำลังกายลดหน้าท้อง  ด้วยจิตใจที่แข็งกล้า และด้วยความอดทนอย่างสุนัขพันธุบุลด็อก ของพวกเขา การอ่านหนังสือประ๓ทนี้จะเหมือนกับการได้ย้อนกลับไป ในยุคก่อนๆ และได้ใช้ชีวิตร่วมกันได้ร่วมแบ่งปันบรรเทาปัญหาและ ความกระสือรือร้นของพวกเขา คุณผู้อ่านท่านใดที่กำลังตัดสินใจจะ เปิดห้องสมุดเล็กๆ ของตัวเองจะพลาดหนังสือที่เต็มเปียมไปด้วยแรง บันดาลใจเล่มนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาดในการเลือกสรรหนังสือให้แก่ตัวเอง เราจะต้องเตรียมใจอยู่ อย่างหนึ่งว่า จงปล่อยให้มันสร้างแรงบันดาลใจ ปล่อยให้มันเป็น ธรรมชาติของมัน ที่เมื่อเราหยิบขึ้นอ่านเมื่อใด เราจะรู้สึกเหมือนว่า ได้ออกเดินทางไปยังโลกภายนอกเพื่อพิชิตชัยบางสิ่งที่ยิงใหญ่!และสิ่งนี้น่าจะเป็นภารกิจหลักของหนังสือที่ยิ่งใหญ่ทั้ง หลาย คือ สร้างแรงบันดาลใจและยกสภาพจิตใจ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ของ โลกล้วนแต่เป็นนักอ่านทั้งสิ้น พวกเขาคงไม่สนใจที่จะคิดอ่านถ้ามัน ไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจใดๆ ให้ มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อ นโปเลียน มหาราช ถูกนำตัวไปยัง เซนต์เฮเลนา เขาได้แนะนำเจ้าหน้าที1นาย หนึ่งว่า “จงอย่าหยุดอ่าน” สิ่งที่มีคุณค่าพอสำหรับช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ส่วน ใหญ่แล้วจะถูกเก็บบันทึกรักษาไว้ในหน้าหนังสือโดยบรรดานักคิดของ ทุกช่วงประวัติศาสตร์และทุกการเคลื่อนไหวทีนำไปส่สิ่งที่ดึกว่าของ ความมนุษยชาติและเทือยกสภาพจิตใจให้อยู่เหนือภาระงานทีทำตรากตรำ และหนักหน่วง บา์โหนติดประตู ทุกความคิดที่สวยงามจะพบได้อยู่ในนั้น และยิ่ง หนังสือดีเท่าไร สิ่งเหล่านี้ก็จะมีบรรจุให้ค้นพบในนั้นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราทำงานในแต่ละวันเส!จเรียบร้อยดีแล้วเลือกดึง หนังสือออกมาจากชั้นลักหนึ่งเล่มแล้วหายตัวไปเข้าไปส่โลกอื่นลักช่วง เวลาหนึ่ง แน่นอนว่าสำหรับบุคคลที่ละเลยการอ่าน พวกเขาก็จะต้อง พลาดวิธีขยายขนาดสมองและจิตใจให้กว้างขึ้นที่ดีที่สุดไปแล้ววิธีหนึ่ง

บาร์โหน

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การหาค่าและการศึกษาข้อมูลต่างๆในสภาพอากาศในภาวะโลกร้อน

ระยะเริ่มแรกมันคงประกอบไปด้วยก๊าชต่างๆ ที่น่าจะปรากฏตัวขึ้นมาใน ขณะ’นนา.ม่ว่าไ,ฮใดรเจน,มีเทน,แอมโมเนีย1ไอนา,ก๊าชเฉื่อยหลายชนิด โดย ที่ไม่มีออกซิเจนอิสระอยู่เลย...ในขณะที่ตัวโลกส่วนที่เป็นของแ<|งประกอ11ไปด้วยสารต่างๆ เช่นซิลิเกตของอลูมิเมียม1 เหสืก, แคลเ,ซิเยม, แมกปีเซิ!ยม, โซเดียม, แพยางเป่าลม โปแตลเชียม...ฯลฯ ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการ สร้างชีวิตในเวลาต่อมา...ส่วนแหล่ง,นาในระยะเริ่มแรกปรากฏตัวขึ้นมาบริเวณแอ่งระหว่างหุบเขาในปริมาณที่น้อยมาก หรือประมาณ 1 ใน 10 เท่าของปริมาณ'นาเท่าทีมีอยู่ในปัจจุบันนีแต่จะปรากฏตัวฃึนมาในรูปของของเหลวใสๆเหมือน“ซุปใส” หรือข้นๆ แบบ “ซุปข้น” ก็ยังคงเถียงกันไม่รู้จบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เต็มไปด้วยข้อมูล,ทฤษฎี,ข้อสมมุติฐานและ.. “จินตนาการ” กันจำนวนมากมายซึ่งเหตุที่ต้องเถียงกันในเรื่องนี้อย่างชุลมุนวุ่นวายกันตั้งแต่เริ่มแรกก็เพราะว่าสภาพความเป็นไปของน้ำในระยะนั้น มันจะต้องถูกโยงให้เข้ามาเกี่ยวพันกับกระบวนการวิวัฒนาการของ“สารเคมี”ที่จะเป็นตัวก่อกำเนิด“โมเลกุล” บางชนิดที่มืขีดความสามารถพอจะวิวัฒนาการกลายมาเป็นต้นกำเนิดของ “เซลล์” ของสิ่งมืชีวิตกันได้แบบไหน? อย่างไร? เพราะสภาพความแตกต่างระหว่างความข้นความใสเหล่านี้มันยังเต็มไปด้วยคำถามถึง “การคงตัวของโมเลกุล” ดังกล่าวว่ามันคงตัวกันได้อย่างไร...???แต่เอาเป็นว่า. ห่วงยางแฟนซี ..ถึงจะยังเถียงกันไม่เสร็จตั้งแต่ชีวิตยังไม่ได้เริ่มต้นในจินตนาการกันเลยก็แล้วแต่ แต่ก็พอจะทั่วๆ กันต่อไปได้บ้างว่า บรรดาธาตุที่ประกอบขึ้นมาเป็นส่วนที่เป็นของแข็ง บวกกับก๊าซต่างๆ ที่มือยู่ในบรรยากาศขณะนั้น ได้กระทำปฏิกิริยาต่อกันและกันโดยบรรดาพลังงานครั้งดึกดำบรรพ์อันประกอบไปด้วย พลังงานจากดวงอาทิตย์,พลังงานใต้พิภพ,พลังงานจากการแผ่รังสีของกัมมันตรังสี,พลังงานไฟฟ้าในรูปฟ้าแลบ,ฟ้าผ่า โดยมีแอ1งนี้าในหุบเขาหรือ “สระนั้าอุ่นโบราณ” เป็นแเ'ไกคุกวิทยาศาสตร์ ล้างตำนาน...ดารวัน ภาชนะรองรับ...ทำให้เกิดอุบัติการณ์การ “ก่อกำเนิดชีวิต” ขึ้นมาโดย “บังเอิญ” จนได้...??? ???แต่การทำให้สารเคมีต่างๆ .ก๊าซ,‘นา (ไม่ว่าจะใสหรือข้นก็แล้วแต่) ถูก พลังงานกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยากลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยตัวของมันเองโดยปราศจากจิตเจตนาใดๆ หรือจุดมุ่งหมายใดๆ กำกับอยู่เบื้องหลังเอาเลย ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญอยู่ไม่น้อยใน การสร้างภาพจินตนาการและการหาคำอธิบายที่ “สมเหตุสมผล” เอา มารองรับอุบัติการณ์เหล่านี้...คำอธิบายแบบชาวกรีกที่ตั้งอยู่บนรากฐาน จินตนาการเดียวกัน...คือบนจินตนาการที่เชื่อว่า “สิ่งมีชีวิต” ก่อกำเนิดขึ้น  ห่วงยางเด็ก มาจาก “สิ่งที่ไม่มีชีวิต” ตั้งแต่เมื่อพันๆ ปีที่แล้ว ด้วยการตั้งสมมุติฐานว่า “โคลน” กับ “ละอองหมอก” ทำปฏิกิริยาต่อกันและกันจนกลายมาเป็น “ปลา” หรือ “มุลสัตว์” ทำปฏิกิริยาจนกลายเป็น “หนอน”, “นี้าค้าง'ใน ตอนเช้า” ถูกพลังงานแสงแดดกระตุ้นจนกลายมาเป็น “หิ่งห้อย” และ “แมลง” ชนิดต่างๆ, “นี้าฝน” กับ “ฮิวมัส” ทำปฏิกิริยากันและกันจน กลายมาเป็น “ไล้เดือน”...ฯลฯ ก็ดู'จะ “เชยยซ์ซ์ซ์” ไปแล้ว...

ห่วงยางเล่นน้ำ

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การออมเงินเร็วก่อนสามารถซื้อเครื่องไล่หนูได้ก่อนคนอื่น

ลองดูจากตัวอย่างที่ยกตัวเลขมาเปรียบเทียบภาพให้เห็นกันชัดๆไปเลย สมมติว่านายหนุ่ม เริ่มออมเงินเมื่ออายุ 21 ปี ออมเพียงปีละ 100 บาท โดย ฝากไว้กับธนาคาร ให้อัตราดอกเบี้ยฝากร้อยละ 10 และเมื่อถึงอายุ 29 ปีก็ หยุดฝากเงิน แต่ยังไม่ถอนเงินออกมาจากธนาคาร ให้เงินต้นทำหน้าที่สร้าง ดอกเบี้ยต่อไปเรื่อยๆ จนถึงอายุ 60 ปี   วิธีไล่หนู  โดยยังได้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 อยู่ ตลอดระยะเวลาการออม เมื่อถึงอายุ 60 ปี นายหนุ่ม จะมีเงินทั้งสิ้น 26,500 บาท ซึ่งเป็นเงินต้นเพียง 800 บาท และได้ดอกเบี้ยจากการฝากเงิน 25,800 บาทส่วนนายคิดช้า มีอายุเท่ากับนายหนุ่ม แต่เริ่มออมเงินช้ากว่า คือ เริ่ม ออมเมื่ออายุ 29 ปี ด้วยเงินปีละ 100 บาทเท่ากันไปจนถึงอายุ 60 ปี เป็น เวลา 32 ปีและได้รับอัตราดอกเบี้ยเท่ากัน ปรากฏว่าเมื่อถึงอายุ 60 ปี นาย คิดช้า มีเงินเพียง 22,100 บาท ซึ่งเป็นเงินต้นที่นายคิดช้าฝากธนาคาร 3,200 บาท และได้ดอกเบี้ยเพียง 18,900 บาททั้งๆ ที่นายหนุ่ม ฝากเงินน้อยกว่านายคิดช้าถึง 4 เท่า แต่กลับมีเงิน มากกว่านายคิดช้า ถึง 4,400 บาท อ่านดูแล้วคุณคงเลือกได้ว่าอยากเป็นนาย หนุ่มหรือนายคิดช้ายกตัวอย่างเงิน  บาทอาจจะไม่น่าสนใจสำหรับใครหลายคน ลอง ดูอีกตัวอย่างหนึ่งที่ขอเพิ่มตัวเลขไม่มากมายอะไร เอาเป็นแค่ 200 บาทก็พอ คราวนี้นายหนุ่มออมเงินเดือนละ 200 บาท  การกำจัดหนู โดยเริ่มออมตอนอายุ 21 ปี เหมือนเดิม แต่ออมไปเรื่อยๆ ไม,ได้หยุด จนถึงอายุ 60 ปี ได้อัตราดอกเปีย เฉลี่ยร้อยละ 10 ไปตลอดระยะเวลาการออม นายหนุ่มจะมืเงินถึง 1,253,000 บาท ในขณะที่นายคิดช้า เริ่มออมเมื่ออายุ 29 ปีในจำนวน 200 บาท เท่ากัน และได้อัตราดอกเบี้ยเท่ากันด้วย เมือถึงอายุ 60 ปี นายคิดช้า จะมืเงินเพียงบาทเท่านั้น คำนวณแล้วนายหนุ่ม มืเงินมากกว่า นายคิดช้า ถึงบาทชัดเจนพอไหม สำหรับคำว่า ออมก่อน รวยกว่า ถ้ามองการออมเป็น การลงทุนประ๓ทหนึ่งแล้ว เวลามืความสำคัญยิ่งกว่าเม็ดเงินเสียอีกแล้':วะวันนี้ กุอนเรบออบเบินบาบหรือนับ คิดมากขึ้นทุกครั้งที่จะจ่ายเงินออกไป ทำให้เกิดอานิสงส์ในการระมัดระวังการ ใช้เงินมากขึ้นเป็นของแถมตามมาด้วยอย่างน่าพอใจทีเดียวส่วนหลักการ  ถือได้ว่าเหมาะสำหรับคนที่รู้ว่านิสัยตนเองเก็บ เงินไม่อยู่ หลักการของการ - 10 นั้นง่ายมาก เพียงแค่คุณต้องหักเงินรายได้ ทุกบาทที่ได้มาออก 10 % ทุกครั้งก่อนนำมาใช้จ่ายแบบปกติ สมมติว่าทันทีที่  อุปกรณ์ไล่หนู  เงินเดือนออก 20,000 บาท คุณจะมีเงินเก็บทันที 2,000 บาท ซึ่งเงินส่วน'นี้ ต้องกันไว้ในบัญชีเงินฝากส่วนที,เป็นบัญชีอนาคตสถานเดียว ไม่เกี่ยวกับเงิน ถอยรถคันใหม่ ไม่ต้องข้องแวะแม้ว่ากำลังจะวางแผนเทียวต่างประเทศตอน สิ้นปี และต้องทำแบบนี้เสมอภาคเท่าเทียมไม,มีการยกเว้น แม้จะเป็นเงิน โบนัสสิ้นปี เงินรายได้พิเศษ เงินแต๊ะเอียวันตรุษจีน ก็ไม,ควรแอบคิดในใจว่า เงินก้อนพิเศษไม่เกี่ยวกับหลักการ 10 ที1วางไว้ เพราะนี่จะเป็นเงินที่เก็บไว้ใช้ ในอนาคต เวลาที่ไม่ได้ทำงาน หรือเกษียณไปแล้ว ดังนั้น ต้องอยู่ในสถานะ พิเศษเหนือทุกกรณีข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้นถ้าใครรักษาวินัยทางการเงินได้จรืงจัง จะลองอัพเสเวลยกฐานะตัวเองให้เขยิบชั้นขึ้นเป็น  ก็ไมมีตำราเล่มไหนห้ามไว้ ขอเพียง อย่าให้ถึงกับรู้สึกลำบากอึดอัดชักหน้าไม่ถึงหลังเป็นใช้ได้ ขอเพียงให้ทำจริงก็ เรียกว่า ได้ประโยชน์ทั้งนั้นถ้าลงมือทำ เพราะจะเป็นคนทีมเงินออมอยู่ในมือ อยู่ตลอด คนที,เคยลองทำวิธีนี้มาแล้วบอกว่า ใหม่ๆ ก็มีแนใจหรือแอบขี้โกง ตัวเองบ้าง แต่พอทำไปได้สักพักแล้วเริ่มเห็นเม็ดเงินในบัญชีที่น่าชื่นใจ ก็ถือ เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าไม,เสียแรงเหนื่อยเลยทีเดียว


เครื่องไล่หนู










เงินออมแบบมือใหม่เทคนิคเครื่องไล่หนูง่ายๆที่ได้ผลดี

  การออมทำได้สำหรับทุกคน ทุกฐานะ หลักการสำคัญมีเพียงการ พยายามใช้เงินให้น้อยกว่าที่หามาได้ เพราะการ เหลือเก็บค่อยเอาไปใช้จะ ล่งผลกับชีวิตแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก เหลือจ่ายค่อยเอาไปเก็บ” เพราะท้าย ที่สุดแล้วแทบจะไม่เหลือจากที่จ่าย ทำให้แทบจะไม่มีเงินออม คนทีสามารถ ยิบยั้งชั่งใจ ลดความฟุมเฟือยจากการใช้จ่ายตามใจตนเองได้ จึงต้อง พยายามแกฝนตนเองอย่างมีวินัย ไม่หวังลมๆ แล้งๆ กับการรวยทางลัดซึ่งมี โอกาสเกิดได้น้อยมาก  ต่างหากที่ว่าน่ากลัวอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราต้องเร่งลงมือวางแผนการออมเงิน นั่นคือ อนาคตข้างหน้า คุณต้องเผชิญกับสิงที,หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือแนวโน้มราคาข้าว วิธีกำจัดหนู  ของและสินค้าจะแพงขึ้นเท่าตัวอย่างแน่นอน บางคนคิดว่าวันนี้มีเงินเก็บหรือ มีธุรกิจเล็กๆ ที1พอเลี้ยงตัวได้อย่างเพียงพอแล้ว อนาคตก็น่าจะสบายใจได้ ระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงคงต้องยอมรับว่า เงินร้อยบาทที'คิดว่ามีค่าใน วันนี้ แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอาจจะใช้เงิน 100 บาทไม่เพียงพอสำหรับ การจ่ายค่าอาหารลักมื้อ ข้าวลักชามก็เป็นไปได้ ถ้าใครเคยมองการออมแบบคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงแล้ว ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อการออมเสียใหม่โดยใช้วิธี เหลือเก็บค่อยเอาไป ใช้ โดยทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามาให้หักเป็นเงินออมเพื่ออนาคตของตนเองก่อน เป็นอันดับแรก  การไล่หนู หลังจากนั้นค่อยเป็นรายจ่ายเพื่อชำระภาระหนี้สิน โดยเลือก จ่ายหนี้ก้อนที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงก่อน เช่น พวกหนี้สินระยะสั้น ประ๓ทหนี้ บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อเงินกู้นอกระบบต่างๆ หลังจากนั้นค่อยนำเงินส่วนที เหลือจากการออมและการชำระหนี้ที,มีดอกเบี้ยสิ้นเปลือง มาใช้จ่ายในชีวิต ประจำวัน ลองทำแบบนี้ดูเพียงแค่ไม่นาน คุณจะพบว่าคุณเริ่มไต่เข้าไปใกล้ ระดับการออมตามที่คุณตั้งใจไว้ได้ง่ายขึ้น และยังช่วยลดรายจ่ายประจำวัน บางรายการที่ฟุมเฟือยไม่จำเป็นลงได้ ซึ่งวิธีนี้อาจจะทำให้คุณมีเงินเหลือ สำหรับการใช้จ่ายในแต่ละเดือนน้อยลง แต่คุณจะกลายเป็นคนใหม่ที่คิดมาก ขึ้นเวลาจะจ่ายแต่ละครั้ง เพราะอยากให้รอบครอบและคุ้มค่ามากขึ้นนั่นเองวิธีออมเงินแบบ ก็คือ ทุกครั้งที่เราคิดจะใช้เงิน หรือซื้อหาอะไร ตอบสนองความพึงพอใจของตนเอง ให้ลองบวกตัวเลซนั้นลงไปในใจเพิ่ม เข้าไปอีก 10% ของยอดที่เราต้องควักกระเป้าซื้อ เช่น ถ้าเราคิดจะซื้อมือถือ ลักเครื่องหนึ่งราคา 10,000 บาท เราต้องควักกระเป้าเพิ่มออกมาอีก อุปกรณ์ไล่หนู  1,000 บาท เพื่อนำไปใส่ในบัญชีเงินฝากที่เปิดไว้เป็นการเฉพาะสำหรับเรื่องนี้ถ้าอยากดูหนัง การซื้อตั๋วหนังราคา 150 บาท จะทำให้คุณมืเงินฝาก เพิ่มขึ้นอีก 15 บาท และข้อสำคัญของการออมที1จะประสบความสำเร็จก็คือ ต้องมีความตั้งใจสมาเสมอในการออม อย่าขยันบ้างขี้เกียจบ้างไม่รักษาวินัย เพราะนั่นจะทำให้เป้าหมายการออมของคุณไม่ได้ผลเท่าที'ควร คุณจะต้องทำ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ กับทุกรายการที1ใช้จ่าย ไม่ว่ายอดเงินนั้นจะมากหรือน้อย เท่าไรก็ตาม สิงที่จะได้จากการบังคับให้ต้องออมบวกเพิ่มสิบทุกรายการนี้ นอกเหนือจากจะทำให้ออมเงินได้เร็วแล้ว คุณจะประหลาดใจทีพบว่าตัวเอง


เครื่องไล่หนู

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ช่างปั้นงานจิ๋ว งานศิลปะที่เต็ม ไปด้วยความประณีต

ผลงานที่เต็มไปด้วยความสวยงามที่คุณผู้อ่านเห็นอยู่นี้ หากมองเพียงผิวเผินหลายท่านอาจคิดว่านี่คือ “ของ จริง” ที่มี'ให้เห็นอยู่ทั่วไป...
แต่ถ้าพินิจพิจารณากันให้ดีก็จะพบว่า งานศิลปะที่เต็ม ไปด้วยความประณีตบรรจงในการสร้างสรรค์ทั้งหมด แท้จริง คืองานศิลป๋อันงดงาม น่ารัก ละเอียดอ่อน แต่ถอดแบบเหมือน กับของจริงจนต้องยอมรับว่า นี่คือผลงานลํ้าค่าจากฝืมือของศิลปิน ที่มืความตั้งใจอย่างเปียมล้น เพื่อให้งานของเขาสำเร็จออกมาโดย ไร้ข้อตำหนิจากผู้พบเห็น
ชิ้นงานทั้งหมดหากมีขนาดและสัดส่วนเหมือนของจริง ก็คง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ทุกอย่างที่เห็นอยู่นี้คือศิลปะงานปันงานประดิษฐ์ ที่ย่อ ส่วนลงมาจนเหลือเพียงขนาดเล็กจิ๋ว จึงน่าสนใจไม่น้อยว่าเจ้าของ ผลงานซึ่งต้องทุ่มเทแรงใจแรงกายสร้างสรรค์ขึ้นมาคือใครและเพราะอะไรจึงทำให้เกิดความคิดริเริ่มที่จะสร้างผลงาน ขนาดจิ๋วเหล่านี้ขึ้นมา ทั้งที่กว่าจะสำเร็จออกมาแต่ละขึ้นนั้น ก็เชื่อ ได้ว่าย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายนักเลยเจ้าของผลงานการสร้างศิลปะขนาดจิ๋วทั้งหมดนี้ คือ คุณนภัสนันท์ จันทรโต แห่ง “บ้านปันจิ๋ว” หรือ “มินิสยาม” ซึ่งเป็นแบรนด์ของธุรกิจที่ดำเนินอยู่ด้วยความมุ่งมั่น กระทั่ง ปัจจุบันนี้เธอกลายมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะขนาดจิ๋ว ผู้มี ชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองไทยคุณนภัสนันท์ได้กล่าวถึงความเป็นมา ก่อนจะหันมาทุ่มเท ผลิตผลงานศิลปะขนาดจิ๋วของเธอ จนทำให้มืชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวางทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่า...“จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่รักทางด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็ก และ ได้เริมต้นสร้างงานเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อตอนอายุ 18 ปี ซึ่ง ในตอนนั้นก็ศึกษาทางด้านศิลปะอยู่ทีมหาวิทยาลัยศิลปากรควบคู่ ไปด้วย คือทำไปด้วยเรียนไปด้วย จนกระทั่งเมื่อมีโอกาสไปต่อ ที่อเมริกา พอเรียนจบก็กลับมาเริ่มต้นธุรกิจทางด้านนี้อย่างจริง จังนับแต่นั้นมา”จากการเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉยของคุณนภัสนันท์ เมื่อ เธอตั้งมั่นว่าจะยืนอยู่ในวงการศิลปะเพื่อสร้างผลงานออกสู่สายตา สาธารณชนเป็นเป้าหมายสำคัญ ทำให้เธอหมั่นพยายามค้นหาความ แปลกใหม่ผสมผสานควบคู่กับงานศิลปะของตนเองมาโดยตลอด ประกอบกับการที่จบมาทางด้านการออกแบบ รวมถึงพรสวรรค์ ที่มีอยู่ในตัว ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณนภัสนันทั่ได้ สร้างสรรค์งานคิลบ้ออกมาหลายรูปแบบกระทั่งเมื่อมาสัมผัสและหลงใหลในเสน่ห์ของงานปันขนาดจิ๋ว เธอจึงเริ่มทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานศิลป็ในรูปแบบนี้อย่าง จริงจัง กระทั่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามในที่สุด“ต้องบอกว่างานศิลปะขนาดจิ๋วในบ้านเราก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่ง แต่ละคนก็จะมีรูปแบบเฉพาะเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของงาน ซึ่ง จะบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของศิลปินหรือช่างแตกต่างกันออกไป “แต่ของมินิสยามจะมีแนวคิดต่างจากของคนอื่นๆ นั่นคือ ที่นิ่เราจะพยายามสร้างผลงานขึ้นมาจากเรื่องราวต่างๆ เพื่อสะท้อน ให้เห็นถึงวิถีความเป็นไปในหลากหลายแง่มุม ไม่ใช่แค่สร้างชิ้น งานขึ้นมาโดดๆ โดยให้ความสำคัญแค่เพียงความงดงามหรือความ เหมือนจริงแต่เพียงอย่างเดียว”คุณนภสนันท์กล่าวถึงแนวความคิดของเธอ
และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ผลงานโดยส่วนใหญ่ของคุณ นภัสนันท์ ภายใต้แบรนด์ “มินิสยาม” มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกต่างจากคนอื่น จนกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ลูกค้าทั้งที่เป็นคน ไทยและชาวต่างประเทศ เกิดความหลงใหลในความมีชีวิตของ ผลงานที่สรรค์สร้างขึ้นมา
หลักการทำงาน'ของคุณ'นภัคนนท์ก็คือ เธอจะมองสิ่งรอบตัว ด้วยความสนใจ จากนั้นจะพยายามค้นหาที่มาที่ไปเพื่อคิดแนวทาง ให้เกิดการดำเนินเรื่องราวในลักษณะต่างๆ เมื่อตีโจทย์แตกแล้ว ก็จะเริ่มต้นออกแบบแล้วลงมือสร้าง จนกระทั่งทุกส่วนที่เป็นองค์ ประกอบสามารถบอกเล่าเรื่องราวในตัวเองได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ทุกอย่างที่ถ่ายทอดออกมาเป็นชิ้นงาน จะต้องมีความละเอียดรอบคอบ ต้องค้นหาข้อมูลจากความเป็น จริงในแต่ละเรื่องราว เพื่อไม่ให้การถ่ายทอดออกมาผิดเพี้ยนหรือ ลักลั่นจากความเป็นจริง
อีกทั้งยังต้องทุ่มเทถอดรายละเอียด จากของจริงร้อย เปอร์เซ็นต์ลงสู่ชิ้นงานที่สร้างสรรค์โดยไม่ยอมให้มีการขาดตก บกพร่อง
“อัตราส่วนที่เราย่อชิ้นงานจากของจริงมีอยู่หลายลักษณะ ตั้งแต่ 1 ต่อ 10 ไปจนถึง 1 ต่อ 100 แต่ที่นิยมทำส่วน ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 20 ซึ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความ ต้องการของลูกค้าที่จะสั่งเข้ามา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะคำนึงถึง คุณภาพของงานเป็นหลักใหญ่ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ขนาดหรือสัดส่วนของ ชิ้นงาน”
สำหรับราคาขายของงานปันจิ๋วแต่ละชิ้นของคุณนภัสนันท์ จะ มีหลายราคาขืนอยู่กับกลุ่มลูกค้า โดยจะมีให้เลือกตั้งแต่ราคา เพียงชิ้นละ5บาท, 10 บาท, 50 บาท, 100 บาท ไล่ระดับไป เรื่อยๆ จนสูงสุดถึง 450,000 บาท
หากคุณผู้อ่านท่านใดสนใจอยากซมหรือเป็นเจ้าของงาน ศัลป็ขนาดจิว ซึ่งเต็มไปด้วยความสวยงาม น่ารักและมีเสน่ห์อยู่ ในตัวเองเหล่าน สามารถติดต่อพูดคุยสอบถามรายละเอียดกับ คุณน.ภัสนันท์ได้โดยตรง ที่หมายเลขโทรศัพท์ (081) 924-0033.. •

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธความศรัทธาแรงกล้า

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธความศรัทธาแรงกล้าที่ผู้คนมื ต่อพระพุทธศาสนานับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน จึงทำ ให้เกิดหลายสิงหลายอย่างลื่อสะท้อนให้เห็นภาพรวมแห่งความ เลื่อมใส กลายเป็นเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่นเสมอมา...
ส่วนหนึ่งของการแสดงออกให้เห็นถึงความศรัทธาใน พุทธศาสนาก็คือ จำนวนของวัดที่มีอยู่มากมายในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และนอกจากวัดแล้ว การร่วมแรงร่วมใจกันสร้าง ศาสนวัตถุในรูปแบบต่างๆ ก็คือส่วนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงศรัทธา อันยิ่งใหญ่ที่พุทธศาสนิกชนชาวไทย ต่างร่วมกันทุ่มเทเพื่อจรรโลง พุทธศาสนาเอาไว้สืบเนื่องต่อกันมาเนิ่นนาน
ด้วยเหตุนี้ วัดจึงเป็นแหล่งรวมจิตใจของคนในท้องถิ่น อีก ทั้งยังเป็นแหล่งรวมความรู้ ความน่าสนใจในลักษณะต่างๆ มากมาย และไม่เว้นแม้แต่กระทั่งความแปลก ของแปลก ซึ่งเกิดจากผลพวงของ'พลังศรัทธาที่ชาวบ้าน,ต่างร่วม'ใ'จกันสร้'างสรร1ค์ฃึ้'นให้กับวัด ในท้องถิ่นของตดังเช่นเรื่องราวขององค์พระปฏิมากร1ซึงได้รั'นการขนานนาม ว่า “หลวงพ่อแสนเหรียญ” ทีจะนำมาเสนอดังต่อไปนี.หลวงพ่อแสนเหรียญ คือพระพุทธรูปที่มีความแปลกแตก ต่างจากพระพุทธรูปองค์อื่นๆ เนื่องจากตลอดทั้งองค์พระประดับ ประดาด้วยสตางค์ชนิดเหรียญจำนวนหลายแสนเหรียญ จนกลาย เป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากสตางค์เพียงหนึ่งเดียวในเมืองไทยด้วยแรงปัญญาที่เป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ พระครูปลัดเพลิน เตชธัมโม เจ้าอาวาสวัดลาดขาม จังหวัดกาญจนบุรี ท่านได้ร่วม กับญาติโยมและศิษยานุคืษย์ พร้อมทั้งสาธุชนที่ใจบุญทั่วไป สร้าง องค์พระปฏิมากรด้วยเงินตราชนิดเหรียญ มีตั้งแต่ยุคแรกถึงยุค ปัจจุบัน นามว่า “พระพุทธเบญจนวมงคลกาญจน์” หรือชาวบ้าน มักเรียกกันว่าหลวงพ่อแสนเหรียญหลวงพ่อแสนเหรียญเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ขนาดหน้า ตักกว้าง 59 นิ้ว สูง 87 นิ้ว จำนวนเหรียญที่ใช้ในการสร้าง เมื่อ นับถึงวันนี้ประมาณ 9 แสนเหรียญ ทำให้มีความงดงามตามแบบ ปฏิมากรรมและศิลปกรรมเป็นเลิศศิลปะการเรียบเรียงเงินตราชนิดเหรียญหลายยุคหลายสมัย ให้เป็นองค์พระปฏิมากรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อรวบรวมเงินตรา ชนิดเหรียญมาแล้ว ก็ต้องนำเหรียญมาบรรจงให้เป็นองค์พระ ปฏิมากร งานนี้ต้องมีฝึมีอและพรสวรรค์เป็นอันมากทุกตารางนิ้ววิจิตรตระการตาตั้งแต่ฐานถึงปริมณฑล โดย เฉพาะพระพักตร์อิ่มเอิบยิ้มแย้ม บ่งบอกถึงความเจริญของบ้านเมืองในยุคนั้น และองค์พระปฏิมากรที่กล่าวมานี้ มีสาธุชนทั่วไทยใน เขตพระศาสนาขององค์สัมมาส้มพุทธเจ้าและผู้ที่เลื่อมใสในคุณงาม ความดี เข้ามากราบนมัสการกันอย่างเนืองแน่น เป็นที่มาของคำว่า “หลวงพ่อแสนเหรียญ"
ขณะเดียวกัน ในเวลานี้ วัดลาดขาม กำลังดำเนินการก่อ สร้างมณฑปแก้วเจ็ดชั้นสูง 59 เมตร เพื่อประดิษฐานพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ชึ่งมีคณะศรัทธาจัดสร้างถวายให้วัดลาดขาม และองค์ หลวงพ่อแสนเหรียญ เป็นองค์ที่ 9 ในจำนวน 28 พระองค์นั้น อีกนัยหนึ่ง มีพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน เมื่อได้มากราบ นมัสการมีความรู้สึกเย็นกาย เย็นใจ และจิตใจเบิกบานในเชิง ปฏิบัติ การอธิษฐานเหมือนได้กราบนมัสการและได้อธิษฐาน กับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ และเทพแห่งความมั่งคั่งมั่นคงรํ่ารวย ที่ประสิทธี้ประสาทไว้กับองค์ปฏิมากรที่สร้างด้วยเงินตรา เป็นที่ มาแห่งโชคลาภและความรํ่ารวย สมกับพระนามพระพุทธเบญจ- นวมงคลกาญจน์ หรือหลวงพ่อแสนเหรียญ
สำหรับวัดลาดขามนั้น แต่เดิมเป็นวัดร้าง สร้างประมาณ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตามที่กรมคํลปากรได้สำรวจ และ คำนวณไว้จากวัตถุโบราณและซากปรักหักพังของเจดีย์ โบสถ์เก่า พระพุทธรูปหินทรายสมัยเก่าที่หักชำรุด ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย อยู่ทั่วบริเวณวัด อันเป็นเพราะพิษของสงครามที่ผ่านมา
ตามคำเล่าขานกันมายาวนานว่า พม่ายกกองทัพเข้าตีกรุง ศรีอยุธยาโดยใช้เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ในสมัยนั้น ได้ตีเมือง ทองผาภูมิ (วัดดงสักลิ้นถิ่น) และเมืองท่ากระดาน เดินทางเข้า ช่องกระบอก ตีเมืองท่ากระดาน ชาวบ้านได้หนีขึ้นไปอยู่บนเขาส่วนหนึ่ง (หมู่บ้านหนองหอย) และเดินทางตามลำนํ้าแควน้อย โดยใช้แพเป็นพาหนะ เข้าตีกาญจนบุรีเก่าโดยยกทัพขึ้นมาที่บ้านเก่า ชาวบ้านได้ทิ้งถิ่นฐานลงมาอย่ที่กลอนโด ทัพพม่าได้ลัดเลาะและอีกส่วนหนึ่งปลอมตัวเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งรู้มาว่าคนไทย บางหมู่บ้านไม่ถูกกัน จึงใช้อุบายยุยงทำให้คนไทยแตกความ สามัคคี ทำให้ง่ายต่อการเข้าตีเมืองให้แตกเมื่อพม่าปิดกั้นแม่นํ้าสายบ้านทวนแล้ว ช้าง ม้า วัว ควาย อดนํ้าตายก็มากมาย พม่าตีมาถึงลาดขามซึ่งมืแต่เด็กกับคนแก่อยู่ ในบ้าน พม่าจึงฆ่าตายทั้งหมู่บ้าน และเผาหมู่บ้านทำลายวัดวา อารามเอาทรัพย์สินมืค่าไป วัดและบ้านลาดขามจึงร้างตั้งแต่นั้น เรื่อยมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2542 พระปลัดเพลิน เตชธัมโม ได้ธุดงค์มาพบซากปรักหักพัง จึงคิดที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์ไว้ให้ อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา เพื่อสืบทอดพระศาสนาและเป็นที่ลักการ- บชาสืบต่อไป จึงได้ปักกลดใต้ร่มไม้บริเวณวัดลาดขาม และ ลงมือบูรณะปฏิสังขรณ์ ด้วยแรงศรัทธาจากคนในตระกูล “พวง ปทุมานนท์,'คุณผู้อ่านที่ต้องการจะเดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อ แสนเหรียญ สามารถเดินทางไปไต้ทุกวัน ที่วัดลาดขาม ตำบล พนมทวน อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี.. •

สามัคคีคือพลังมาจากภัยพิบัติมาได้หลายต่อหลายหน

^ คำกล่าวว่า “สามัคคีคือพลัง” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่เชื่อว่า On คุณผู้อ่านย่อมเคยได้ยินกันคุ้นหูมานานแสนนานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงอยากตอกยํ้าให้เห็นความจริงในความหมาย ของคำดังกล่าว ด้วยการนำเอาเรื่องราวของชุมชนหนึ่ง ซึ่งรอด มาจากภัยพิบัติมาได้หลายต่อหลายหน ก็เพราะความสามัคคีดัง
กล่าวนี้เอง
ชุมชนที่อยากนำพาไปรู้จักนี้ คือชุมชนตำบลทุ่งเทียง อำเภอ พนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ที่หากใครเคยผ่านไปที่นึ่ มักจะต้อง นึกสงสัยว่าทำไมบริเวณหน้าบ้านทุกหลัง จะต้องมีกระป๋อง หรือ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า “กระแป๋ง” สีแดงแขวนอยู่ทุกเรือนซาน ตอนแรกที่ผ่านไปมาผู้เขียนก็ไม่ทราบ และนึกสงสัยเหมือน กันว่าทำไมคนที่นึ่เขาต้องทำอย่างนี้กันด้วย??...
แต่เมื่อมีโอกาสชักถามจึงได้ความว่า การที่ทุกบ้านทุกหลังคา เรือนของชุมชนแห่งนี้เขาต้องมีการนำกระป๋องสีแดงมาแขวนไว้ที่ บริเวณหน้าบ้าน ก็เพราะว่าเพื่อเป็นการป้องกันภัยร้ายแรงที่อาจ เกิดขึ้นเหมือนเมื่อครั้งอดีต
ภัยที่ว่าก็คืออัคคีภัยหรือไฟไหม้ชุมชน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมา 2 - 3 ครั้ง ในอดีตที่ผ่านมา และทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดีก็เพราะ ชาวบ้านทุกหลังคาเรือน ต่างก็พยายามช่วยกันระดมพลังดับไฟที่ ลุกโหมกระหนํ่าอย่างบ้าคลั่ง ด้วยการใช้กระป๋องหรือกระแป๋งที่ แขวนอยู่ตามหน้าบ้าน ตักนํ้าไปดับไฟไม่ให้ลุกลามใหญ่โตไปมาก กว่าที่เป็นอยู่
ประโยชน์ของเจ้ากระป๋องแดงที่แขวนไว้ก็คือ มีไว้เพื่อการ นี้โดยเฉพาะ!!
นอกจากกระป๋องแดงดังที่เห็นอยู่นี้แล้ว ทุกบ้านภายใน ชุมชนทุ,งเหียงต่างก็ต้องมีตุ่มใส่นํ้าวางไว้หน้าบ้านด้วย และตุ่ม ทุกใบก็จะต้องรองนํ้าไว้เต็มเบี่เยมไม่เคยขาด ทั้งนี้ ก็เพราะหาก เกิดเหตุไม่คาดฝ็นเข้าวันไหน กระป๋องใส่นํ้าเพียงอย่างเดียวก็คง ไม่เพียงพอต่อการระงับเหตุ ต้องมีนํ้าไว้ใช้สำหรับดับไฟด้วย
คุณป้าบ๊วยวัย 67 ปี เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่ง ทุกวันนี้ แกและคนในชุมชนทุ่งเทียงได้มีโอกาสพึ่งพาเจ้ากระป๋อง แดงดับเพลิงมาแล้ว 2-3 หน เนื่องจากในอดีตชุมชนแห่งนี้นับว่า อยู่ไกลจากความเจริญ รถดับเพลิงซึ่งมีอยู่เฉพาะแต่ในตัวอำเภอ พนัสนิคมมักมาถึงช้าเกินกว่าจะแกัใขได้ทัน
ผู้นำชุมชนในอดีตซึ่งหมายถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จึงเกิด ความคิดว่าก่อนจะพึ่งคนอื่นเราต้องพึ่งตนเองก่อน จากนั้นจึงช่วยกันค้นหาวิธีดูแลชุมชนของตนเองให้รอดพ้นจากภัย ในที่สุดก็ มาสรุปลงที่การขอความร่วมมือจากลูกบ้านให้วางตุ่มนํ้าไว้บริเวณ หน้าบ้าน และให้นำเอากระป๋องหรือกระแป๋งมาแขวนไว้ เพื่อไว้ ใชในยามฉุณ'ฉิน“คนที่นี่มีความสมานสามัคคีกันดีมากจ้ะ เวลาเกิดเหตุร้าย พวกเราต่างก็จะช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทุกคนต่างก็วิ่งออกจาก บ้านของตัวเองเพื่อไปช่วยกันดับไฟ เพราะหากขืนรอรถดับเพลิง ก็คงสายเกินแก้ เพราะเวลาเกิดไฟไหม้มันลุกลามรวดเร็วมาก เรา ก็ได้เจ้ากระป๋องพวกนี้แหละกู้สถานการณ์วิกฤติได้“ส่วนนํ้าในตุ่มที่ตั้งอยู่ตามหน้าบ้านทุกหลังก็เหมือนกัน พวกเราจะต้องเตรียมสำรองไว้ตลอดเวลา เพราะเหตุการณ์มันเกิด ขึ้นโดยไม่มืใครรู้ล่วงหน้า ถ้าขืนประมาทมันก็อาจไม่ทันการ พวก เราจึงเตรียมพร้อมรับมือกันอยู่ตลอดเวลา”คำพูดของป้าบ๊วย ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของการนำ กระป๋องแดงมาแขวนไว้หน้าบ้านของชาวชุมชนทุ่งเทียง บ่งชี้ให้เห็น ถึงพลังความสามัคคีของชาวชุมชนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี และทุก วันนี้แม้ว่าทางการจะมีระบบการบรรเทาสาธารณภัยอย่างเข้มงวด ขึ้น แต่ชาวชุมชนทุ่งเทียงก็ไม่เคยละทิ้งกระป๋องแดงของพวกเขา ปัจจุบันการจัดหากระป๋องแดงหรือกระแป๋งแดงมาแขวนไว้ ตามบริเวณหน้าบ้านทุกหลังคาเรือน เป็นหน้าที่ของ อบต.ทุ่ง เทียง ซึ่งได้มีการจัดซื้อจัดหามาแจกจ่ายให้กับซาวบ้าน.. •

เงินปากผีเหล่านั้นจะทำให้ผู้ตายได้มีโอกาสนำไปใช้ในชาติภพหน้า

งินปากผี”!!...คำๆ นเชอว่าคุณผู้อ่านทุกท่านคงรู้จัก 0 กันเป็นอย่างดี รวมถึงอาจทำให้คนขวัญอ่อนบางราย ถึงกับชะงักกึก ขนลุกวาบ หากมีใครเอ่ยคำๆ นี้ให้ได้ยิน...
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเงินปากผีนั้น หมายถึงเงิน ทอง รวมถึงสิ่งของเครื่องประดับมีค่าต่างๆ ที่ญาติของผู้ตายมักจะนำ มาใส่ไว้ในปากของศพ ด้วยความเชื่อว่าเงินทองหรือสิ่งของมีค่า เหล่านั้นจะทำให้ผู้ตายได้มีโอกาสนำไปใช้ในชาติภพหน้า หรือใน โลกหลังความตาย
เป็นการกระทำที่ส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาดีที่เกิดขึ้นจาก ความรัก ความอาลัย และความปรารถนาดีต่อผู้ตายเป็นครั้ง สุดท้าย ก่อนทำพิธีฌาปนกิจศพของบุคคลอันเป็นที่รักเหล่านั้น
เรื่องราวอาถรรพณ์เกี่ยวกับเงินปากผีมีให้ได้ยินกันมาเนิ่น นาน โดยเฉพาะกับความเฮี้ยนของดวงวิญญาณผู้ตายที่มักติดตามมาหลอกหลอน เพื่อทวงคืนเอากับผู้บังอาจลักขโมยเงินของตน ไปใช้ ดูเหมือนจะสร้างความหวาดสะพรึงได้ทุกครั้งเมื่อมีการ กล่าวถึง
เคยมีเรื่องเล่าสะพรึงขวัญมากมายเกี่ยวกับอาถรรพณ์อันเกิด จากเงินปากผี และแต่ละเรื่องที่ถูกนำมาเผยแพร่ก็ล้วนแล้วแต่ น่าขนพองสยองขวัญด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีข้อเท็จจริงเป็น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการนำเงินปากผีไปใช้ ก็ย่อมหมายถึงการ ท้าทายต่อดวงวิญญาณผู้ตาย ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลองดี'’ แบบสุดๆ สำหรับคนไทยที่ยังเชื่อถือในเรื่องเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณอยู่
เงินปากผีจึงกลายเป็นเงินต้องห้าม เพราะเป็นเงินของผี ไม่ใช่เงินของคน!!
ด้วยเหตุนี้ หากมีใครบางคนกล้านำเอาเงินปากผีมาไว้ที่บ้าน จึงย่อมต้องกระแสความฮือฮาได้ไม่น้อย...
เมื่อไม่นานมานี้ได้ปรากฏข่าวที่ทำให้หลายคนต้องถึงกับตก ตะลึง เนื่องจากมีการค้นพบบุคคลผู้หนึ่งซึ่งนิยมนำเงินปากผีมา เก็บไว้ในบ้านของตน เป็นการสวนกระแสกับความเชื่อในเรื่อง อาถรรพณ์ของเงินปากผี ที่มักสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้ ทุกครั้งโดยสิ้นเชิง
บุคคลที่อาจหาญนำเอาเงินปากผีมาเก็บสะสมไว้ที่บ้านรายนี้ คือนายไหล ตะเพียนทอง ผู้มีอาชีพเป็นสัปเหร่อ ซึ่งต้องคลุกคลี ครํ่าหวอดอยู่กับศพคนตายมาเกือบตลอดชีวิตของเขา
ที่บ้านเลขที่ 4/1 หมู่ 9 ตำบลปากกราน อำเภอพระนครศรี- อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านของคุณลุงไหล ตะเพียนทอง อายุ 72 ปี สัปเหร่อคนดังประจำชุมชน
เมื่อเดินทางไปถึงก็ได้พบว่า ที่ฝาบ้านไม้ชั้นบนตรงระเบียง 
หน้าบ้านขนาดสูง 2.5 เมตร ยาว 6 เมตร มีธนบัตรไทยหลาย
ชนิดทั้งใบละหนึ่งร้อยบาท,ห้าสิบบาทและยื่สิบบาท จำนวนมาก
ห่อด้วยพลาสติกอย่างดี ถูกตีตะปูยึดมุมสี่ด้านกับฝาผนังจนแน่น เต็มพื้นที่ฝาผนัง รวมแล้วเกือบ 20,000 บาท
เงินทั้งหมดที่คุณลุงไหลน่ามาติดประดับไว้ที่ฝาบ้านด้งกล่าว นี้ เป็นเงินปากผีที่คุณลุงไหลเอามาจากศพคนตายจำนวนนับร้อยๆ ศพ ซึ่งคุณลุงไหลทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อเผาศพให้
คุณลุงไหลผู้สร้างกระแสความฮือฮาเกี่ยวกับการนำเงินปาก ผีมาเก็บสะสมไว้ที่บ้านกล่าวว่า ตนเองทำหน้าที่สัปเหร่อมานาน แล้วตั้งแต่อายุ 27 ปี จนปัจจุบัน 72 ปี โดยจะทำหน้าทีสัปเหร่อ ทำศพตามวัดต่างๆ ในชุมชนและย่านใกล้เคียง ประกอบด้วยวัด สำเภาล่ม วัดขุนพรหม วัดพุทไธสวรรค์ วัดกลาง วัดสนามไชย วัดโคกปากกราน
เมื่อญาติคนตายมาบอกก็จะไปช่วยทำศพให้ทุกครั้ง จนเป็น ที่รู้จักของซาวบ้านในชุมชนดี และการนำเงินปากผีหรือเงินจากปาก ศพมาเก็บสะสมไว้ที่บ้านดังกล่าว ก็ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะ แอบไปสักขโมยเอาของศพคนตายมาใช้ หากแต่ทุกครั้งจะต้องได้ รับอนุญาตจากญาติผู้ตายหรือเจ้าของศพเสียก่อน
จากนั้นคุณลุงไหลได้เปิดเผยถึงวิธีการนำเงินปากผีมาเก็บ สะสมไว้ว่า ก่อนเผาศพทุกศพเมื่อเปิดฝาโลงบนเมรุให้ญาติดูหน้า ศพเป็นครั้งสุดท้ายและเอานํ้ามะพร้าวล้างหน้าศพแล้ว ตนเองจะ บอกญาติคนตายขอเงินในปากผีและเงินที่ญาติใส่ไว้ในโลงศพ เพื่อ นำมายังบ้านพักของตนเอง เพราะไม่อยากให้เงินทองหรือของมีค่า
เหล่านั้นถูกเผาไหม้ไปโดยเปล่าประโยชน์
ทีสำคัญก็คือคุณลุงไหลคิดว่า เงินทุกบาททุกสตางค์เหล่า นั้นมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำไปเผาเพราะไม่ก่อประโยชน์ใดๆ ย สู้ นำมาเก็บรวบรวมไว้ทำบุญจะดีกว่า
เมื่อได้เงินมาหากเป็นเหรียญเก็บใส่กระป๋อง แต่ส่วนใหญ่ เป็นธนบัตร คุณลุงก็จะนำมาหุ้มด้วยพลาสติกอย่างดี และนำตะปู มาตอกที่มุมธนบัตรยึดแน่นติดข้างฝา เรียงประดับประดาเป็น ระเบียบเรียบร้อยจนอัดแน่นเต็มฝาบ้านไปหมด
นอกจากนั้นสัปเหร่อผู้นิยมสะสมเงินปากผียังเปิดเผยอีกว่า เงินปากผีที่ได้มาจากศพแต่ละศพจะมีจำนวนเงินไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ตาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นธนบัตรชนิดหนึ่ง ร้อย ห้าสิบ และยี่สิบบาท และเท่าที่เคยได้มาสูงสุดบางศพได้ เป็นหลักพันเลยก็มี
ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา ฝาผนังบ้านของคุณลุงไหลจะเต็ม แน่นไปด้วยธนบัตรที่ได้มาจากปากศพและในโลงศพ เมื่อน่ามาติด ไว้จนกระทั่งเต็มพื้นที่จนไม่มีที่ติดแล้ว คุณลุงไหลก็จะแกะออก แล้วนำไปทำบุญตามวัดต่างๆ และทำเช่นนี้มาหลายรอบแล้ว
“พอเงินเต็มฝาผมก็จะแกะเงินออกมาและรวบรวมไปทำบุญ ที่วัด ชื้อผ้าประดับเมรุบ้าง ชื้ออิฐบ้าง ชื้อปูนบ้าง ฯลฯ ผมจะ นำเงินปากผีทั้งหมดไปชื้อของถวายวัดทั้งหมด และจากนั้นก็จะ อุทิศส่วนกุศลให้คนตายเจ้าของเงินด้วย

“ผมไม่เคยนำเงินปากผีมาใช้ และเงินทองค่าแรงที่ได้จากการ เป็นสัปเหร่อ ก็นำสมทบทุนทำบุญกับเงินปากผีด้วยเช่นกัน,'คุณลุงไหล ตะเพียนทอง สัปเหร่อผู้อาจหาญนำเอาเงิน ปากผีมาเก็บไว้ที่บ้านกล่าว พร้อมกับเล่าว่า ตนเองทำอย่างนี้มา นานแล้ว ลูกหลานก็ไม่ได้ว่าอะไร
ทุกวันนี้คุณลุงไหลอยู่กับภรรยา ชื่อนางเล็กเพียง 2 คนเท่า นั้น ส่วนลูกๆ มีครอบครัวทำงานดีทั้งหมด ลูกหลานส่งเสียเลยง ดูตนเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเงินปากผีไปใช้จ่ายอะไร “เงินปากผีจำนวนมากที่ผมเอามาติดข้างฝาหน้าบ้านทั้งหมดนี้ คุณก็ดูเอาเองสิว่าผมไม่ได้เอาไปเก็บซุกช่อนไว้ที่ไหน แต่ก็แปลก เพราะยังไม่เห็นมีใครกล้าเข้ามาขโมย สงสัยมันจะกลัว
“แต่สำหรับผมและลูกหลานไม่มีใครกลัว และไม่เคยมีอะไร เกิดขึ้นด้วย เพราะเราทำด้วยเจตนาดีและไม่ไดีไปลักขโมยเขามา ผมเชื่อว่าดวงวิญญาณของเจ้าของเงินเหล่านั้นคงเข้าใจดี โดยก่อน นอนทุกวันผมจะสวดมนต์และทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย เสมอ”
คุณลุงไหลเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มขันๆ เมื่อถูกถามว่าเคยพบ เจอเรื่องราวเกี่ยวกับอาถรรพณ์เงินปากผีบ้างหรือไม,?...
ส่วนชาวบ้านที่อยู่ใกล้กันต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่าไม่ รู้สึกกลัวอะไร ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าคุณลุงไหลเป็นคนอย่างไร และ ต่างก็เชื่อว่าคุณลุงไหลทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ้ จึงไม่มีใครมองว่า สัปเหร่อผู้นี้ทำในสิ่งที่ไม่ดีงาม ตรงกันข้าม...
ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือในตัวของคุณลุง และเห็น ด้วยกับเจตนาอันบริสุทธิของคุณลุงไหล ตะเพียนทอง สัปเหร่อ คนตังผู้นี้อยู่เสมอ.. •

คุณปู่ลมกรดการออกกำลังกายเป็นยาอายุวัฒนะ

การออกกำลังกายอย่างสมรเสมอ ถือเป็นยาอายุวัฒนะ ที่ทำให้คนเรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง โรคภัย ไข้เจ็บไม่มาเยี่ยมเยียนง่ายๆ ส่งผลให้ชีวิตมีอายุยีนยาวขึ้น...
ถ้อยคำประโยคข้างต้นคือสิ่งที่เราท่านได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่ เล็กจนโต แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าทุกคนจะรู้ถึง คุณประโยชน์ของการออกกำลังกายเป็นอย่างดี กลับปรากฏว่า มีคนไทยเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่นิยมการออกกำลังกาย เพื่อ เสริมสร้างสุขภาพพลานามัยให้แข็งแรงสมบูรณ์ตามที่ได้เรียนรู้มา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชีวิตของคนไทยในยุคหลังสั้นกว่าคนไทย ในยุคก่อน ทั้งที่เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวลํ้านำสมัย สามารถให้ความช่วยเหลือในการยื้อลมหายใจของผู้ป่วยได้ยาวนาน มากกว่าการแพทย์ในสมัยเก่าหลายเท่าตัวนักประโยชน์ของการออกกำลังกายที่สามารถชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัด ทีสุด ก็เห็นจะเป็นกรณีของคุณปูลมกรด นักวิ่งมาราธอนวัยดึก ผู้ซึ่งสามารถคว้าชัยชนะจากสนามแข่งทุกสนาม จนทำให้ชื่อเสียง ของคุณปูเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ในฐานะ “นักวิ่งที่มีอายุมาก ที่สุดในเมืองไทย’, ในปัจจุบันนี้คุณปูเป็ง เพิงสา วัย 92 ปี หรือที่หลายคนให้ฉายาท่าน ว่า “คุณปูลมกรด” ด้วยเหตุเพราะคุณปูสามารถคว้าชัยชนะจาก การแข่งขันวิ่งมาราธอน ทั่งที่มืนักวิ่งจำนวนถึง 3,500 คนลงแข่ง ในการวิ่งมาราธอนครั้งนั้นโดยคุณปูเป็งสามารถวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 2.12.30 ชม. ในระยะทาง 21.1 กม. เรียกได้ว่าคุณปูวิ่งควบเข้าเส้นชัยแซงหน้า นักวิ่งรุ่นหลานได้แบบสบายบรื๋อแเรื่องของคนที่ไม่ยอมแพ้สังขาร คุณปูวัยใกล้ร้อยผู้รักการ “วิ่ง” เป็นชีวิตจิตใจ แข็งแรงแข็งแกร่งเกินหน้าคนหนุ่ม ลง แข่งขันวิ่งมาราธอนเข้าเส้นชัยชนะนักวิงรุ่นลูกรุ่นหลาน ได้เป็ด ตัวครั้งแรกเมื่อครั้งที่สถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง จัดการ แข่งขัน “จอมบึงมาราธอน” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพ รัตนราซสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งที่ 16 ประจำปี 2544 โดยมี พล.อ. พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี มาเป็นประธาน การแข่งขันในครั้งนั้นมี 3 ประเภท คือมาราธอนระยะทาง 42.195 กม. ประเภท ฮาล์ฟมาราธอน ระยะทาง 21.1 กม. และมินิมาราธอน ระยะทาง 10 กม. มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งคน ไทยและต่างประเทศรวม 3,500 คนจุดสนใจของการแข่งขันครั้งนั้นอยู่ที่นายเป็ง เพิงสา หรือ “ปูเป็ง” ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ 87 ปี ถือเป็นนักวิ่งที่อายุมากที่ สุดของประเทศไทย ลงแข่งขันประเภทระยะทาง 21.1 กม. ฮาล์ฟ มาราธอนการแข่งขัน “จอมบึงมาราธอน” ในครั้งนั้นเริ่มปล่อยตัว จากจุดสตาร์ท ถนนหน้าอาคารอำนวยการ สถาบันราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง เวลา 06.00 น. โดยคุณปูเป็งในชุดนักวิ่งทะมัดทะแมง วิ่งเกาะกลุ่มกับนักวิ่งคนอื่นไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามเส้นทางรอบ หมู่บ้าน ผ่านเรือกสวนไร่นาปาเขาในเขตอำเภอจอมบึง โดยมีลูก ชายและลูกสาวขับรถยนต์ตามดูอยู่ห่างๆหลังจากวิ่งจนครบระยะทาง 2.1.1 กม. คุณปูเป็งก็'วิ่งเข้า เส้นขัยบริเวณสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ทำสถิติ 2.12.30 ชั่วโมง (สองชั่วโมงสิบสองนาทีสามสิบวินาที) นำหน้าเอาชนะนักวิ่ง(.รี่องของคนที่'เม'ยอมแพ้สังขาร คณปูวัยใกล้ร้อยผู้รักการ “วิ่ง” เป็นชีวิตจิตใจ แข็งแรงแข็งแกร่งเกินหน้าคนหนุ่ม ลง แข่งขันวิ่งมาราธอนเข้าเส้นชัยชนะนักวิ่งรุ่นลูกรุ่นหลาน ได้เปีด ตัวครั้งแรกเมื่อครั้งที่สถาบันราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จัดการ แข่งขัน “จอมบึงมาราธอน” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครังที่ 16 ประจำปี 2544 โดยมี พล.อ. พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี มาเป็นประธาน การแข่งขันในครั้งนั้นมี 3 ประเภท คือมาราธอนระยะทาง 42.195 กม. ประเภท ฮาล์ฟมาราธอน ระยะทาง 21.1 กม. และมินิมาราธอน ระยะทาง 10 กม. มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งคน ไทยและต่างประเทศรวม 3,500 คนจุดสนใจของการแข่งขันครั้งนั้นอยู่ที่นายเป็ง เพิงสา หรือ “ปูเป็ง” ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ 87 ปี ถือเป็นนักวิ่งที่อายุมากที่ สุดของประเทศไทย ลงแข่งขันประเภทระยะทาง 21.1 กม. ฮาล์ฟ มาราธอนการแข่งขัน “จอมบึงมาราธอน” ในครั้งนั้นเริ่มปล่อยตัว จากจุดสตาร์ท ถนนหน้าอาคารอำนวยการ สถาบันราชภัฎหมู่บ้าน จอมบึง เวลา 06.00 น. โดยคุณปูเป็งในชุดนักวิ่งทะมัดทะแมง วิ่งเกาะกลุ่มกับนักวิ่งคนอื่นไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามเส้นทางรอบ หมู่บ้าน ผ่านเรือกสวนไร่นาปาเขาในเขตอำเภอจอมบึง โดยมีลูก ชายและลูกสาวขับรถยนต์ตามดูอยู่ห่างๆหลังจากวิ่งจนครบระยะทาง 2.1.1 กม. คุณปูเป็งก็'วิ่งเข้า เส้นชัยบริเวณสถาบันราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ทำสถิติ 2.12.30 ชั่วโมง (สองชั่วโมงสิบสองนาทีสามสิบวินาที) นำหน้าเอาชนะนักวิ่งอีกหลายร้อยคนที่ยังวิ่งไม่ถึงเส้นชัย ได้รับเสียงปรบมือดังสนั่น จากผู้ชม โดยสีหน้าของคุณปูเป็งไม่ได้บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า เลยแม้แต่น้อยแถมยังเดินเหินได้สบาย และบอกกับลูกหลานที่ตามมาเชียร์ ว่า ยังวิ่งต่อได้อีก!!นายเป็ง หรือปูเป็ง นักวิ่งอายุมากที่สุด เปิดเผยว่า ปกติจะแข่งขันวิ่งมาราธอนระยะทาง 42.195 กม. โดยปีที่แล้ว ลงแข่งเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2543 ทำสถิติ 4.36 ชั่วโมง (สี่ ชั่วโมงสามสิบหกนาที)แต่ปีต่อมา ลูกๆ ขอไว้เพราะซ้อมน้อย จึงเปลี่ยนมาแข่ง ฮาล์ฟมาราธอน ลดระยะทางลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากวิ่งเข้า เส้นชัยก็รู้สึกว่าตัวเองยังไหวอยู่ ปีหน้าจึงจ ะลงแข่งมาราธอนอีก ไม่เลิกแน่นอน เพราะรักการวิ่งมากคุณปูเป็งเริ่มวิ่งอย่างจริงจังมาได้ประมาณ 12 ปีแล้ว ตระเวน แข่งมาหลายสนาม การซ้อมก็ซ้อมตอนเช้ามืด รวมกลุ่มกับ พรรคพวกนักวิ่งในตลาดอำเภอจอมบึง วิ่งไปตามถนน บางครั้งก็ วิ่งรอบสนามฟุตบอลสถาบันราชภัฏฯ รอบสวนสุขภาพ 70-80 รอบเวลาวิ่งแต่ละครั้ง คุณปูเป็งมักจะจำรอบที่วิ่งไปแล้วไม่ได้ ต้องใช้เม็ดมะขามที่นางจาก เพิงสา อายุ 82 ปี ภรรยา แกะไว้ ใส่กระเป๋ากางเกงด้านขวา พอได้ 1 รอบ คุณปูก็จะควักมาใส่ กระเป๋าซ้าย 1 เม็ด ซึ่งการออกวิ่งแต่ละครั้งจะใส่เม็ดมะขาม 80-90 เม็ด- “ตั้งแต่วิ่งมาไม่เคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพ บางครั้งปวดเมื่อย หรือมึนหัว แต่พอออกวิ่งก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง สมัยก่อนมีอาชีพ
ทำไร่ มีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นชาย 1 หญิง 4 ตอนนี้ลูกทุกคน รับ ราชการเป็นครู“ส่วนไร่ที่เคยทำ ลูกๆ ก็ช่วยกันดูแล สบายใจ ไม่มีอ ะไร ต้องห่วง จึงจะวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะวิ่งไม่ไหว เพราะวิ่งแล้ว ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพเลย” ปูเป็งกล่าวทุกวันนี้ แม้คุณปูจะอายุล่วงเลยมาจนถึงวัย 92 ปีแล้ว แต่ คุณปูเป็งก็ยังมีบุคลิกลักษณะท่าทางคล่องแคล่วทะมัดทะแมง และยังคงวิ่งออกกำลังกายอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้กำลังวังชาถดถอย ลงไปและการวิ่งอย่างสมํ่าเสมอของแก ก็ล่งผลให้สุขภาพ พลานามัยของคุณปูสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเยี่ยม เยียนเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอีกเพียงไม่กี่ปีอายุของคุณปูจะครบ 1 ศตวรรษแล้วก็ตามนี่คือตัวอย่างของผู้ที่ซื่นชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิต จิตใจ และออกกำลังมาโดยสมรเสมอมาโดยตลอด ทำให้วันนี่ ของคุณป่เป็งยังคงเป็นวันคืนที่สดใสเหมือนเช่นวันวาน จนหลาย คนต่างก็ต้องอิจฉา.. •เชือกกระโดด

การเจริญเติบโตของเด็กที่รักการออกกำลังกาย


ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองไม่คอยอบรมสังสอน และ ชี้นำสิ่งถูกผิดแล้ว สิงที่เขาได้เรียนรู้จะติดตัวกลายเป็นนิสัยในอนาคตได้
เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งวนเวียนอยู่ในการดำเนิน ชีวิตของผู้คนในสังคม หากเด็กๆ ได้รับการเรียนรู้จากคนใกล้ชิดในทางที่ ถูกที่ควรก็จะส่งผลดีต่ออุปนิสัยการใช้จ่ายในอนาคต แต่หากคุณพ่อคุณ แม่ปล่อยปละละเลยลูกๆ ให้เติบโตขึ้นในสภาพสังคมที่คนส่วนใหญ่เห็น เงินเป็นพระเจ้า หรือใช้จ่ายเงินทองในทางที่ผิดโดยไม่มีใครคอยชี้แนะ แล้ว พฤติกรรมของผู้คนรอบตัวเด็กก็จะเป็นส่วนหนึ่งซึ่งกลืนกิน และ หล่อหลอมเด็กให้เจริญเติบโตมาอย่างที่เขาพบเจอ
อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อมย่อมเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการ การเจริญเติบโตของเด็ก แต่ในสภาพสังคมปัจจุบันที่มีการแข่งขันค่อนข้าง สูง คุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานนอกบ้านหนักขึ้น จึงอาจมีเวลาในการดูแล เอาใจใส่ลูกลดน้อยลง มีการฝากลูกไว้กับคนดูแลเป็นระยะเวลานานขึ้น หรือทำให้เด็กๆ ใช้ระยะเวลาในการอยู่ที่โรงเรียนกับคุณครูและเพื่อนๆ มากขึ้น ในบางกรณีอาจส่งผลให้มีพฤติกรรมเลียนแบบเพื่อนมากขึ้น โดยไม่มีผู้ใหญ่คอยชี้แนะ จนในบางครั้งเกิดเป็นปัญหาใหญ่ตามมาซึ่ง ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป คุณพ่อคุณแม่ควรปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการดูแล ลูกน้อยเสียใหม่
ให้ความสำคัญต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กมากขึ้น ดีกว่ารอ ให้ปัญหาเกิดขึ้นกับเด็กในอนาคต ดั่งที่เราเห็น'ในปัจจุบันที่เทคโนโลยี
บาร์โหน